อุณหภูมิการลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา วันที่ 10 กรกฏาคม 2561 นักลงทุนเข้าเก็งกำไรกับรายงานผลประกอบการของกิจการในตลาดที่จะเริ่มรายงานกันในวันศุกร์นี้ต่อเนื่องจากเมื่อวันก่อนหน้า ส่งผลให้ดัชนีสำคัญของสหรัฐอเมริกาทั้งสามดัชนีต่างพากันเพิ่มขึ้นไปปิดในแดนบวกได้ทั้งหมด นำโดยดัชนีดาวโจนส์ที่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 จุด เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน ในขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้นอย่างสดใส หลังจากรายงานผลประกอบการของ Pepsi ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ทุกดัชนีย่อตัวกันลงมาในช่วงปลายตลาด หลังเกิดความกังวลต่อมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯอีกครั้ง
ดัชนี |
ปิดการซื้อขาย |
เปลี่ยนแปลง |
% |
DOWJONE |
24,919.66 |
+ 143.07 |
0.58 |
NASDAQ |
7,759.20 |
+3.00 |
0.04 |
S&P500 |
2,793.84 |
+9.67 |
0.35 |
The S&P 500 เพิ่มเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเริ่มเกิดแรงขายกันออกมาอย่างแรงในช่วงปลายตลาด ส่งผลให้ดัชนีย่อตัวลงเมื่อปิดตลาด นำโดยหุ้นของบริษัท Pepsi Co ที่เพิ่มขึ้นอย่างแรงถึง 4.8% หลังจากรายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ของตลาดจากความแข็งแกร่งของยอดการขาย ส่งผลให้หุ้นของบริษัท Coca-Cola เพิ่มขึ้นตามไปด้วย 1.3% นอกจากนั้น หุ้นของบริษัท Procter & Gamble เจ้าของธุรกิจโฆษณายักษ์ใหญ่ของโลก เพิ่มขึ้น 2.5% ดันให้ดัชนีหุ้นในกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคในดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.3%
ส่งผลให้ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้นถึง 3% ในช่วง 4 วันที่ผ่านมา หลังรับข่าวรายงานเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าที่คาด ทำให้ตลาดเกิดความคาดหวังต่อผลประกอบการที่จะรายงานออกมา
นอกจากนั้น ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นยังดันให้หุ้นในกลุ่มพลังงานพากันเพิ่มขึ้นอย่างสดใส โดยดัชนีหุ้นในกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.7% หลังจากราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นกันอย่างแรง จากรายงานข่าวความกังวลต่อปริมาณการผลิตของนอร์เวย์และลิเบีย
ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้นอีก 143.07 จุด เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 4 วันติดต่อกัน นำโดยหุ้นของบริษัท DowDuPont และ Procter & Gamble
อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาหุ้นทั่วทั้งตลาดพากันลดลงกันย่อตัวกันลงมาอย่างหนักในช่วงปลายตลาด หลังจากเกิดแรงขายออกมาอย่างแรงในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ส่งผลให้ดัชนีสำคัญในตลาดซื้อขายล่วงหน้าพากันลดลงกันทั้งหมด ภายหลังBloomberg รายงานข่าวว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกจำนวน 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ